วันเสาร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2556

คอมพิวเตอร์ช่วยสอน

1.ความหมายของคอมพิวเฅอร์ช่วยสอน
             คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (computer assisted instruction) ได้มีผู้ให้ความหมายไว้ มากมายเช่น คอมพิวเตอร์ช่วยสอนคือบทเรียนและกิจกรรมการเรียนการสอนที่ถูกจัด กระทำไว้อย่างเป็นระบบมีแบบแผน โดยใช้คอมพิวเตอร์นำเสนอและจัดการเพื่อให้ ผู้เรียนได้ใช้งานตามความสามารถของตนเองโดยไม่จำเป็นต้องมีทักษะความรู้หรือ มีประสบการณ์ในการใช้คอมพิวเตอร์มากก่อน (มนต์ชัย เทียนทอง, 2545, หน้า 3)
             คอมพิวเตอร์ช่วยสอนหมายถึง โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่พัฒนาเพื่อนำมาใช้ใน การเรียนการสอน โดยมีทั้งใช้เป็นสื่อเสริมการสอนที่มีการใช้สื่ออื่น ๆ เป็นกิจกรรมหลัก อยู่แล้วเช่น การใช้เสริมการสอนของครูที่บรรยายในห้องเรียนปกติเป็นต้น หรือการใช้เป็นสื่อหลักในการเรียนการสอนเช่น การใช้เป็นสื่อการและอบรมต่าง ๆ ในลักษณะของการเรียนรู้ด้วยตนเอง เพื่อเป็นการเสริมหรือทดแทนการเรียนการสอนของครูเป็นต้น (สุรเชษฐ์ เวชชพิทักษ์,2546, หน้า 1)
             สรุปได้ว่าคอมพิวเตอร์ช่วยสอน หมายถึง สื่อที่ใช้คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือในการนำเสนอบทเรียนที่ได้มีการจัดลำดับ เนื้อหาและวิธีการนำเสนออย่างเป็นระบบแก่ผู้เรียน โดยผู้เรียนจะมีการโต้ตอบโดยตรงกับคอมพิวเตอร์ในระหว่าง
การเรียนได้

2.รูปแบบของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
             สื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอนมีการนำเสนอได้หลายรูปแบบด้วยกัน ได้มีการแบ่งรูปแบบของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนตามความคิดเห็นของผู้เชี่ยว ชาญ ซึ่งได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการสอนและการเรียนรู้ของ ผู้เรียน แบ่งออกได้หลายรูปแบบเช่น (สุรเชษฐ์ เวชชพิทักษ์, 2546, หน้า 3-8)      
     
             1. รูปแบบการสอนเนื้อหา (tutorial) บทเรียนในแบบการสอนแบบนี้จะคล้ายกับการเรียนการสอนให้ห้องเรียน จะมีการให้ข้อมูลพื้นฐานก่อนโดยแบบเนื้อหาความรู้เป็นเนื้อหาย่อย ๆ มีการทบทวนความรู้เดิม หรือให้ความรู้เพิ่มเติมก่อนที่จะเสนอเนื้อหาใหม่ แก่ผู้เรียนในรูปแบบของข้อความ ภาพเสียง หรือทุกรูปแบบรวมกัน แล้วให้ผู้เรียนตอบ คำถาม เมื่อถูก แล้วจึงจะสามารถเข้าสู่บทเรียนต่อไป

             2. รูปแบบแบบฝึกหัด (drill) บทเรียนแบบฝึกหัดเป็นแบบที่ไม่มีการสอนเนื้อหาความรู้แก่ ผู้เรียนก่อน แต่จะมีการให้คำถามหรือปัญหาที่ได้มีการรวบรวมหรือตั้งโจทย์ไว้ก่อนแล้วแก่ ผู้เรียน ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น แบบปรนัยหลายตัวเลือก แบบจับคู่ แบบถูก-ผิดเป็นด้น ถ้าตอบถูกก็จะได้คำถามใหม่จนกว่าจะได้ผลการตอบในระดับที่น่าพอใจ ดังนั้นผู้ฝึกหัด จะต้องมีความรู้ ความเข้าใจในเรื่องนั้น ๆ มาก่อนในระดับที่ดีอยู่แล้วนิยมใช้กับวิชาเช่น คณิตศาสตร์ภูมิศาสตร์ประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์การเรียนคำศัพท์และการแปลภาษา เป็นต้น

             3. รูปแบบสถานการณ์จำลอง (simulation) เป็นการสร้างกิจกรรมที่ใกล้เคียงกับ ความเป็นจริงมาให้ผู้เรียนได้ศึกษา โดยให้เห็นภาพได้แก่ทักษะและการเรียนรู้ได้โดยไม่ ต้องเสี่ยงภัยหรือเสียค่าใช้จ่ายมากนัก โดยรูปแบบจะประกอบไปด้วย การเสนอความรู้ ข้อมูล การแนะนำผู้เรียนเกี่ยวกับทักษะการแก่ปฏิบัติเพื่อเพิ่มพูนความชำนาญ โดยอาจจะใช้เป็นโปรแกรมย่อย ๆ แทรกอยู่ในลักษณะโปรแกรมสาธิต (demonstration) หรือโปรแกรมทดสอบโดยการสร้างสถานการณ์จำลอง

             4. รูปแบบเกมการสอน (game) เป็นการกระตุ้นผู้เรียนให้เกิดความอยากเรียนรู้ได้โดยง่าย สามารถใช้เกมในการสอนและเป็นสื่อที่จะให้ความรู้แก่ผู้เรียนได้เช่นกัน ในเรื่องของกฎเกณฑ์ แบบแผนของระบบ กระบวนการ ทัศนคติตลอดจนทักษะต่าง ๆ และยังเป็นการเพิ่มบรรยากาศในการเรียนรู้ได้ดีขึ้น เพราะผู้เรียนจะด้องตื่นตัวอยู่เสมอ

             5. รูปแบบการทดสอบ (test) มิใช่เป็นการใช้เพียงเพื่อปรับปรุงคุณภาพของแบบทดสอบเพื่อวัดความรู้ของผู้ เรียนเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ผู้สอนมีความรู้สึกเป็นอิสระจากกฎเกณฑ์ต่าง ๆ เกี่ยวกับการทดสอบได้อีกด้วย เนื่องจากคอมพิวเตอร์สามารถให้เรา สร้างแบบทดสอบที่มีปฎิสัมพันธ์ระหว่างคอมพิวเตอร์กับผู้เรียนได้ซึ่งเป็น เรื่องที่น่าสนุกและน่าสนใจมากกว่า เป็นต้น

             สรุปได้ว่าประเภทของคอมพิวเตอร์ช่วยสอนทั้งหลายรูปแบบ ดังที่ได้กล่าวไว้ในข้างต้น ซึ่งแต่ละประเภทก็มีลักษณะและรูปแบบการนำเสนอบทเรียนที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการออกแบบใช้งานกับผู้เรียน โดยมีวัตถุประสงค์หลักคือความพึงพอใจของผู้เรียน เพื่อให้ได้ผลสัมฤทธิทางการศึกษานั้นเอง

3.ประโยชน์ของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
             สำหรับการเรียนการสอน หรือในด้านการศึกษาเป็นที่ยอมรับกันถึงประโยชน์ ของคอมพิวเตอร์ช่วยสอนไว้มากมายดังนี้
             คอมพิวเตอร์ช่วยสอนสามารถช่วยให้ผู้เรียนที่เรียนอ่อนสามารถใช้เวลานอกเวลา เรียนในการฝึกฝนทักษะและเพิ่มเติมความรู้เพื่อที่จะปรับปรุงการเรียนของตน ให้ทัน ผู้เรียนอื่นได้ดังนั้นผู้สอนจึงสามารถนำคอมพิวเตอร์ช่วยสอนไปใช้ในการสอน ซ่อมเสริม หรือสอนทบทวนการสอนปกติใช้ชั้นเรียนได้ โดยที่ผู้สอนไม่จำเป็นต้องเสียเวลาในการสอนซ้ำกับผู้เรียนที่ตามไม่ทัน อีกทั้งผู้เรียนสามารถนำคอมพิวเตอร์ช่วยสอนไป ใช้ในการเรียนด้วยตนเองในเวลา และสถานที่ซึ่งผู้เรียนสะดวก เช่นที่บ้าน ที่ทำงาน แทน การเข้าชั้นเรียนปกติและยังเลือกเรียนในเวลาที่ต้องการได้ด้วย และถ้าบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนได้รับการออกแบบมาอย่างดีถูกต้องตามหลักการ ออกแบบ คอมพิวเตอร์ช่วยสอนก็จะสามารถจูงใจผู้เรียนให้เกิดความกระตือรือร้น ที่จะเรียนและ สนุกสนานไปกับการเรียน (ถนอมพร เลาหจรัสแสง. 2541,หน้า 12)

4.คุณค่าทางการศึกษาของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
             คอมพิวเตอร์ช่วยสอนไม่ใช่เรื่องใหม่ในวงการศึกษาแต่อย่างใด ได้มีความพยายามในการนำคอมพิวเตอร์มาช่วยในการเรียนการสอนมานานแล้ว โดยสาเหตุที่คอมพิวเตอร์ช่วยสอนได้รับความนิยมและจะเป็นสื่อการศึกษาที่ สำคัญต่อไปในอนาคต ก็เนื่องมาจากว่าสื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอนสามารถลดปัญหาทางต้านการศึกษาลงได้ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการสอนแบบตัวต่อตัวซึ่งในปัจจุบันมีอัตราส่วนระหว่างครู ต่อนักเรียนที่สูงมาก ครูจึงไม่สามารถดูแลนักเรียนแบบตัวต่อตัวได้ คอมพิวเตอร์ช่วยสอนจึง เปรียบเสมือนทางเลือกใหม่ ที่จะช่วยทดแทนการสอนในลักษณะนี้ได้ ซึ่งนับว่าเป็น รูปแบบการสอนที่ดีมาก เนื่องจากรูปแบบดังกล่าวเปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีการโต้ตอบกับ คอมพิวเตอร์ช่วยสอนได้ทันที นอกจากนี้คอมพิวเตอร์ช่วยสอนยังสามารถแก้ปัญหาเรื่อง ภูมิหลังต่างกันของผู้เรียน เนื่องจากผู้เรียนแต่ละคนย่อมที่จะมีพื้นฐานความรู้ซึ่งแตกต่างกันออกไป คอมพิวเตอร์ช่วยสอนจะช่วยให้ผู้เรียนไต้ศึกษาตามความชอบของตนเอง โดยการเลือกรูปแบบการเรียนที่เหมาะสมกับตนเองได้หรือปัญหาการขาดแคลนเวลาที่ ผู้สอนมักประสบกับปัญหาการมีเวลาในการทำงานไม่เพียงพอ ซึ่งคอมพิวเตอร์ช่วยสอนสามารถช่วยให้ผู้สอนลดเวลาที่ต้องใช้กับนักเรียนได้ โดยให้เรียนด้วยตัวเอง หรือแม้แต่ปัญหาเรื่องการขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญสำหรับสถานศึกษาที่อยู่ห่างไกล ในชนบทมักจะประสบปัญหาการขาดแคลนครูผู้สอน ดังนั้นคอมพิวเตอร์ช่วยสอนจึงเป็นทางออกให้ผู้เรียนได้ โดยทำการถ่ายทอดความรู้ดังกล่าวเป็นสื่อการสอน หรือสร้างสื่อคอมพิวเตอร์ ช่วยสอนจำนวนมาก ๆ แล้วส่งไปให้ผู้เรียนได้แทนที่จะต้องเดินทางไปเอง อีกทั้งยังได้ คุณภาพที่เหมือนกันในทุกที่ด้วย (ถนอมพร เลาหจรัสแสง, 2541, หน้า 13-14)

 5.ข้อดีและข้อจำกัดของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
             คอมพิวเตอร์ช่วยสอนนันเป็นเทคโนโลยีใหม่ ซึ่งนับวันจะมีบทบาทมากขึ้นใน วงการศึกษาเนื่องจากคุณสมบัติและลักษณะพิเศษ ที่สามารถเอื้ออำนวยในการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตามคอมพิวเตอร์ช่วยสอนก็เป็นเช่นเดียวกับสื่อประเภทอื่น ๆ ที่มีทั้งข้อดีและข้อเสียในการใช้งานดังนี้
             ข้อดี จากการที่คอมพิวเตอร์ช่วยสอนเป็นเทคโนโลยีใหม่ อีกทั้งแนวโน้มที่เครื่องคอมพิวเตอร์และตัวสื่อที่เป็นซอฟท์แวร์มีราคาถูกลง ผู้เรียนจึงมีโอกาสไค้ใช้มากขึ้น ทำให้ผู้เรียนมีความกระตือรือร้นที่จะได้ประสบการณ์ใหม่ เป็นการกระตุ้นและเพิ่มแรงจูงใจให้แก่ผู้เรียนไค้เป็นอย่างดี อีกทั้งคุณสมบัติของคอมพิวเตอร์ในการแสดงเสียง ภาพ ตลอดจนข้อความที่เคลื่อนไหว ทำให้มีความเหมือนจริงมากขึ้น โดยที่สื่อชนิดอื่น ๆ เพียงชนิดเดียวไม่สามารถทำได้ การเสนอภาพ เสียงอักษร ในเรื่องต่าง ๆ พร้อมกันบน จอภาพเป็นการใช้มัลติมีเดียที่สร้างเสริมประสบการณ์ได้กว้างขวางครอบคลุมได้ มากกว่าครู และยังสามารถบันทึกและตรวจสอบความก้าวหน้าของผู้เรียนและแสดงให้เห็นได้ทั้ง ในรูปของตัวอักษร ภาพ และแผนภูมิ เป็นการประเมินผลของผู้เรียนตลอดเวลา ทำให้คอมพิวเตอร์สามารถทำนายและชี้แนวโน้มของระดับการเรียน หรือความสามารถของแต่ละบุคคลได้เป็นอย่างดี ตอบสนองปรัชญาการเรียนการสอนเป็นรายบุคคล โดยผู้เรียนช้าก็สามารถเรียนได้หรือผู้เรียนอ่อนก็สามารถลองผิดลองถูกได้ตาม ความเร็วของแต่ละคน โดยไม่ต้องมีความรู้สึกมีปมด้อยกับเพื่อน เพราะคอมพิวเตอร์จะสนองตอบรายบุคคลได้เป็นอย่างดี อีกทั้งคอมพิวเตอร์ช่วยสอนสามารถปรับเปลี่ยนโปรแกรม และเพิ่มเติมขยายได้อย่างรวดเร็วทำให้สามารถปรับปรุงบทเรียนให้ทันสมัยกับ เหตุการณ์ได้เป็นอย่างดี ทำให้บทบาทของครูจะเป็นผู้ทรงคุณวุฒิในการช่วยเหลือ ผู้เรียนที่เรียนกับคอมพิวเตอร์ช่วยสอน บทบาทของครูจะเปลี่ยนไปทำให้ครูมีเวลาใน การติดตามและตรวจสอบความก้าวหน้าของผู้เรียนแต่ละคนได้มากขึ้น อีกทั้งคอมพิวเตอร์ช่วยสอนจะช่วยสร้างเสริมให้ผู้เรียนมีเหตุผล และมีความคิดที่เป็น logical เพราะการโต้ตอบกับเครื่องคอมพิวเตอร์ ผู้เรียนจะต้องทำอย่างมีขั้นตอน มีระเบียบและเหตุผลพอสมควร เป็นการฝึกลักษณะนิสัยที่ดีจัดเป็นหลักสูตรที่ซ้อนเร้น โดยที่สามารถ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้เรียนได้

             ข้อจำกัด ถึงแม้ว่าราคาเครื่องคอมพิวเตอร์และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในการ ใช้คอมพิวเตอร์จะถูกลงแล้วก็ตาม แต่การนำเอาคอมพิวเตอร์มาใช้ในสถานศึกษาบางแห่งอาจจะต้องคิดให้รอบคอบเพื่อ ให้คุ้มกับค่าใช้จ่ายและค่าดูแลรักษา โดยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอนในปัจจุบันยังมีอยู่น้อยมาก เมื่อเทียบกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์ในด้านอื่น ๆ ทำให้ยังไม่เพียงพอที่จะนำมาใช้เรียนในวิชาต่าง ๆ อีกทั้งการออกแบบบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่มีคุณภาพยังต้องอาศัยเวลา และสติปัญญา ความรู้ ความสามารถในต้านต่าง ๆ มากมาย ซึ่งนอกจากจะต้องเชี่ยวชาญต้านเนื้อหาแล้ว ยังต้อง มีความรู้ด้านจิตวิทยาการนำเสนอ การออกแบบภาพ การเขียนโปรแกรมเป็นต้น ซึ่งเป็นการเพิ่มภาระของผู้สอนให้มีมากขึ้น และเป็นไปไต้ยากที่จะทำไต้สำเร็จในคนเดียว นอกจากนั้นบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเป็นการวางโปรแกรมบทเรียนไว้ล่วงหน้า จึง มีลำดับขั้นตอนในการสอนทุกอย่างตามที่วางไว้ดังนั้นการใช้คอมพิวเตอร์ช่วย สอนจึงไม่สามารถช่วยในการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ของผู้เรียนไต้โดยผู้เรียน ที่เป็นผู้ใหญ่ บางคนอาจจะไม่ชอบโปรแกรมที่เรียบตามขั้นตอน ซึ่งอาจจะเป็นอุปสรรคในการเรียนได้ (ฤทธิชัย อ่อนมั่ง, 2537, หน้า 8) และที่สำคัญการใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอนอาจทำให้ การมีปฎิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับผู้สอน หรือผู้เรียนกับผู้เรียนลดลงได้ โดยหันไปมีปฎิสัมพันธ์กับคอมพิวเตอร์แทน ซึ่งอาจจะเกิดปัญหาอื่นตามมาได้

6.อุปสรรคในการพัฒนาสื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
             จากประสบการณ์ของผู้วิจัยที่ทำงานด้านการผลิตสื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเป็น ระยะเวลากว่า  8 ปี พบว่ามีปั้ญหาอุปสรรคบางประการทำให้สื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอนในเมืองไทยไม่ พัฒนาเท่าที่ควรสาเหตุมาจากการลงทุนด้านซอฟต์แวร์(software) การผลิตสื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอนน้อยมากทั้งทางด้านภาครัฐและเอกชน เมื่อเทียบกับการลงทุน ด้านอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ (hardware) ที่เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วงต่าง ๆ รวมถึงระบบเครือข่าย ทำให้ไม่เพียงพอในการพัฒนาสื่อคอมพิวเตอร์ให้ได้รูปแบบมีประสิทธิภาพสูงสุด กับกลุ่มเป้าหมาย อีกทั้งผู้ผลิตสื่อไม่มีความรู้ความเข้าใจ รวมถึงความชำนาญในการผลิตสื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอนให้มีคุณภาพได้และผู้เชียว ชาญด้าน เนื้อหาส่วนใหญ่มีรายได้จากการเดินสายบรรยายตามสถานที่ต่างๆทำให้มีความคิด ที่ค่อนข้างลบกับการผลิตสื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเพราะกลัวว่าสื่อดังกล่าวจะ เป็นคู่แข่ง หรือมาทดแทน อาจทำให้ตนเองลดความสำคัญลงและอาจมีรายได้ลดลงหรือตกงานได้ในที่สุด จึงไม่สนับสนุนให้สื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเกิดขึ้น

 7.สรุปหลักการสร้างสื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอน

             สื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอนจะใช้ได้ผลดีหรือไม่ ปัจจัยหนึ่งก็คือตัวสื่อเองด้วยว่าได้ ถูกออกแบบมาอย่างถูกต้องตามหลักวิชา และตรงกับกลุ่มเป้าหมายหรือเปล่าด้วย ซึ่งสื่อที่ดีควรจะมีกิจกรรมที่หลากหลาย เหมาะสมกับความแตกต่างของผู้เรียน มีกิจกรรมที่ผู้เรียนมีปฎิสัมพันธ์กับบทเรียน เพราะการมีปฎิสัมพันธ์มีส่วนทำให้เกิดการเรียนรู้ ควรสร้างสื่อให้เร้าใจด้วยข้อความ ภาพ กราฟิก ภาพเคลื่อนไหว เสียง ให้เหมาะสมกับเนื้อหาเพื่อจูงใจเมื่อทำถูกเช่น ให้รางวัล คำชม เสียงปรบมือ ให้คำอธิบายเมื่อทำไม่ถูก มีการ เสริมแรงจูงใจทั้งทางบวกและทางลบในการใช้สื่อเพื่อให้เป็นแรงกระตุ้น มีการแบ่ง เนื้อหาเป็นย่อย ๆ เรียงตามลำดับจากง่ายไปสู่ยาก ถ่ายโอนการเรียนรู้เป็นลำดับอย่างเป็น ระบบระเบียบ เพราะความเป็นระบบ ระเบียบจะช่วยให้ผู้เรียนจำได้นานและนำไป ปฏิบัติได้ควรออกแบบให้ผลย้อนกลับทันทีเพื่อเป็นการเสริมแรงและสร้างความพึง พอใจ ให้ผู้เรียนเลือกเรียนได้ตามความสนใจ ความถนัด สติปัญญา เพื่อช่วยให้ผู้เรียนที่มีความแตกต่างกันสามารถเรียนรู้ได้ควรมีกิจกรรมที่ ท้าทายเพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนอยากรู้ อยากเห็น พยายามให้มีแบบฝึกหัดให้ผู้เรียนได้ฝึกบ่อย ๆ และการทำซ้ำ ๆ จะช่วยให้ผู้เรียนจำได้นานและนำไปปฏิบัติจริงได้ และควรมีบทสรุปอย่างเป็นระบบ เพราะการทำให้เป็นระบบระเบียบทำให้ผู้เรียนจำได้ รวมไปถึงให้มีการประเมินผลให้ผู้เรียนรู้ผลทันทีและสามารถจัดลำดับของผู้ เรียนเพื่อให้เกิดความท้าทายเหมือนเกม